การอภิปราย หัวข้อวิชา ยุทธศาสตร์ของประเทศมหาอำนาจ
เมื่อวันจันทร์ที่ ๒๐ ต.ค. ๖๘ เวลา ๐๙๐๐-๑๒๐๐ การอภิปราย วิชา "ยุทธศาสตร์ของประเทศมหาอำนาจ" ณ หอประชุม วปอ. โดย
๑. ศ. กิตติคุณ ดร.ไชยวัฒน์ ค้ำชู - นักรัฐศาสตร์ด้านความมั่นคง
๒. ศ.ดร.สิริพรรณ นกสวน สวัสดี - อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ ภาควิชาการปกครอง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
๓. ดร.อาร์ม ตั้งนิรันดร (วปอ.บอ. รุ่นที่ ๑) - ผู้อำนวยการศูนย์จีนศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
————————-
โดย สรุปประเด็นสำคัญ ดังนี้
ยุทธศาสตร์ของประเทศมหาอำนาจทั้งสาม อันได้แก่ สหรัฐอเมริกา สาธารณรัฐประชาชนจีน และรัสเซีย แสดงให้เห็นถึงแกนกลางความขัดแย้งในระเบียบโลกปัจจุบัน ซึ่งมีรายละเอียดสรุปพอสังเขป คือ
- สหรัฐอเมริกา คงอำนาจผ่านเสาหลักคือความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ อำนาจทางทหาร และอิทธิพลทางวัฒนธรรม แม้ว่ายุทธศาสตร์จะถูกปรับสู่แนวคิด "America First" ที่เน้นผลประโยชน์แห่งชาติ และการแข่งขันกับมหาอำนาจ สหรัฐฯ มองจีนเป็นคู่แข่งสำคัญที่สุดที่สามารถปรับระเบียบโลกใหม่ได้
- สหรัฐอเมริกา คงอำนาจผ่านเสาหลักคือความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ อำนาจทางทหาร และอิทธิพลทางวัฒนธรรม แม้ว่ายุทธศาสตร์จะถูกปรับสู่แนวคิด "America First" ที่เน้นผลประโยชน์แห่งชาติ และการแข่งขันกับมหาอำนาจ สหรัฐฯ มองจีนเป็นคู่แข่งสำคัญที่สุดที่สามารถปรับระเบียบโลกใหม่ได้
- สาธารณรัฐประชาชนจีน สร้างความแข็งแกร่งด้วยยุทธศาสตร์ระยะยาว โดยอาศัยเทคโนโลยีเป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการทหาร และมุ่งพัฒนา 'New Productive Forces' ยุทธศาสตร์ของจีนให้ความสำคัญกับการมองหาโอกาสผ่านโครงการ Belt and Road และเน้นย้ำความจำเป็นที่ "เบอร์ 2 และเบอร์ 3 ต้องจับมือกัน"
- รัสเซีย สงครามยูเครนสะท้อนความซับซ้อนของยุทธศาสตร์รัสเซีย โดยอ้างเป้าหมายคือ Denazification, Demilitarization และความเป็นกลางของยูเครน ซึ่งจุดชนวนให้เกิดการถกเถียงว่าต้นตอมาจากการขยาย NATO หรือจักรวรรดินิยมใหม่ของรัสเซีย ความขัดแย้งนี้คือตัวชี้วัดสำคัญของเสถียรภาพโลกในอนาคต
(>) ไทยต้องปรับแผนยุทธศาสตร์เพื่อรับมือกับผลกระทบจากพลวัตของมหาอำนาจ:
๑. การปรับยุทธศาสตร์ให้สมดุล (Multivector Diplomacy): ไทยต้องรักษาสถานะความเป็นกลางและปรับนโยบายต่างประเทศให้มีความละเอียดอ่อนเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกบีบให้เลือกข้างในภาวะ Great-Power Competition โดยใช้การเจรจาทวิภาคีและพหุภาคีเพื่อสร้างอำนาจต่อรอง
๒. การเร่งลงทุนในเทคโนโลยีและเศรษฐกิจใหม่: ไทยจำเป็นต้องมุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ และสร้างความสามารถในการแข่งขันในอุตสาหกรรมแห่งอนาคต เพื่อลดการพึ่งพาและรับมือการเข้ามาของเทคโนโลยีที่เป็นรากฐานอำนาจใหม่ เช่น AI และ EV
๓. การสร้างความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจ: ไทยต้องสร้างความยืดหยุ่นในห่วงโซ่อุปทานและเศรษฐกิจ เพื่อลดความเสี่ยงจากการถูกใช้ Economic Statecraft และมาตรการคว่ำบาตรโดยฝ่ายเดียวของมหาอำนาจ